จะเรียนดีได้อย่างไร
เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เรียนได้ดีที่สุด
ก.จะเรียนที่ไหนดี
1.ที่บ้าน
คุณจะเรียนได้ดีที่สุดคือห้องของคุณเอง
เพราะหนังสือตำรับตำราและเครื่องเขียนต่างๆอยู่ใกล้มือคุณที่สุด และในไม่ช้า
(คือไม่นานเกินรอ)สมาธิของคุณจะค่อยๆเกิดขึ้น
และคุณจะเริ่มชินกะการเรียนในห้องส่วนตัวของคุณ ที่มุมใดมุมหนึ่งข้างเตียงนอน โรงรถ
หรือโรงเก็บของก็สามารถใช้เป็นที่เรียนได้
โดยสรุปแล้ว
ที่ใดก็ตามที่ปราศจากเสียงรบกวนและสิ่งที่จะทำให้สมาธิของคุณวอกแวกวอแว ที่นั่นเป็นที่เรียนที่ดีที่สุดของคุณได้ (และแน่นอนถ้าคุณมีความตั้งใจจริง)
2.ในห้องสมุด
นักเรียนบางคนชอบใช้ห้องสมุดซึ่งอยู่ใกล้บ้านเป็นที่อ่านหนังสือทบทวนตำรา
แต่ถ้าคุณไปที่นั่นแล้วกลับถูกรบกวนโดยนักเรียนบางคนที่เข้าใจผิดคิดว่าห้องสมุดเป็นห้องนัดพบแบบรายการ “นัดบอด”
“ใกล้ชิด” หรือทายปัญหาแบบ
“20คำถาม”แล้วล่ะก็
ขอแนะนำทางที่ดีที่สุดคุณควรนอนอ่านหนังสืออยู่กับบ้านดีกว่า อย่างไรก็ดี
ถ้าคุณไปพบสภาพแวดล้อมชนิดนั้นในห้องสมุดบ่อยๆไม่ช้าคุณก็จะ “ชินไปเอง”
(และเผลอๆอาจชอบและกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทุกกลุ่มก็ได้) อย่างไรก็ตาม
อย่าลืมว่าคุณไปที่นั่นเพื่อ
“เรียนให้ดี”
และถ้าคุณท่องคาถาบทนี้ไว้ข่มใจให้ได้การไปนั่งทำงานในห้องสมุดท่ามกลางสมาชิกดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องยาก เว้นแต่คุณจะทำให้ยากเอง
ข.สิ่งรบกวนสมาธิ
เสียงอึกทึกครึกโครมต่างๆไม่ค่อยมีความหมายในขณะที่เราทำงานโดยใช้กำลังกาย แต่จะกลายเป็นเสียงหนวกหูที่น่าปวดหัว เมื่อเรากำลังตั้งสมาธิหรือท่องงตำรา พยายามหลีกเลี่ยงจากเสียงกวนประสาท (ทั้งห้าหรือทั้งหก)
ทั้งหลายตลอดจนปิดประตูหน้าต่างตลอดจนรูดม่าน (ถ้ามี)
ให้มิดชิด
เพื่อไม่ให้เสียงที่น่ารังเกียจเหล่านั้นรอดเข้ามาเข้ารูหู และเจาะลึกเข้าไปทำลายสมาธิเรา
บางคนอาจใช้วิธีหนามยออกเอาหนามบ่ง
โดยการเปิดวิทยุให้มีเสียงไพเราะแว่วมาพอได้ยินแต่เบาๆ แต่ อย่าลืมว่าเสียงทุกชนิด รวมทั้งเพลงไพเราะนั้นสามารถรบกวนความเป็นผู้คงแก่เรียนของคุณได้ถ้าคุณมัวแต่รู้สึกโรแมนติก (ทับศัพท์จาก
Romantic)
กับเสียงเพลงหรือโมโหจนหนวด
(ปลอม) กระดิก มือไม้สั่นเพราะเสียงรบกวนนั้น จนไม่เป็นอันทำงาน
หรือพยายามทำแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันตามที่ตั้งใจขอแนะนำด้วยความปรารถนาดีสุดหัวใจว่าคุณควรหลีกเลี่ยงการพูดคุย (ไม่ว่าจะมีสาระหรือไม่ในขณะนั้น) รายการโทรทัศน์ วิทยุ
หรือเพลงฮิต
ปีอปปูลาร์สุดโปรด ไม่ว่าจะติดอันดับใดๆ
ในขณะนั้นโดยเด็ดขาด
การเรียนที่บ้าน
1.เฟอร์นิเจอร์
โต๊ะ
โต๊ะที่ใช้เขียนหนังสือควรเป็นโต๊ะที่หน้าเรียบ (ไม่มีสิวฝ้าใดๆ) หรือควรเอียงลาดเล็กน้อย (คล้ายๆ
โต๊ะทำงานของพวกสถาปนิก)
มีขนาดกว้างพอสำหรับตั้งหรือวางหนังสืออ้างอิงและสมุดโน้ต ถ้าคุณนั่งตัวตรงศอกทั้งสองข้าง (มิใช่เข่า)
ของคุณควรอยู่ในระดับเดียวกันกับหน้าโต๊ะ
เก้าอี้
ไม่ควรใช้เก้าอี้นุ่มเกินไป
(เพราะจะชวนให้หน้าหลับยิ่งขึ้น)
แต่ควรใช้เก้าอี้ที่จะช่วยให้คุณนั่งตัวตรงได้อย่างสบายๆเก้าอี้ที่เหมาะสมนั้นเมื่อคุณลองนั่งตัวตรงแล้ว
คุณจะสามารถวางเท้าทั้งสองข้างลงบนพื้นได้พอดี และขอเตือนว่าการนอนอ่านหนังสือบนเตียงนอน
หรือนอนเอกเขนกบนเก้าอี้สำหรับนั่งหรือนอนเล่นไม่เป็นวิธีที่ดีและได้ผล
2.แสงว่าง
ไม่ควรใช้แสงไฟที่ส่องโดยตรงมาที่โต๊ะ
แต่ควรใช้แสงไฟซึ่งส่องทั่วห้องซึ่งไม่ให้แสงสว่างที่จ้าจนแสบตาหรือเกิดเงา
ทางที่ดีควรใช้แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าซึ่งติดไว้บนเพดานห้อง
และจะดีกว่านั้นถ้าจะใช้ดวงไฟตั้งโต๊ะอีกดวงหนึ่งช่วยด้วยเพื่อให้แสงสว่างจากห้องไม่จ้าจนเกินไป และทำให้เกิดแสงที่นวลตาเหมาะแก่การอ่านหนังสือยิ่งขึ้น
ดวงไฟตั้งโต๊ะที่มีขาตั้งยาวและเคลื่อนไหวในทิศต่างๆได้ตามต้องการ นับเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์ที่สุด
แสงสว่างที่ส่องอย่างทั่วถึงในบริเวณที่คุณทำงาน จะทำให้สายตาคุณไม่เมื่อยล้าง่าย เพราะต้องคอยปรับสายตาให้เข้ากับแสงที่ทำให้มีระดับความสว่างต่างกัน ปกติแล้วหลอดไฟขนาด 60
วัตต์ หรือ หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขนาด 20
วัตต์
จะให้แสงสว่างได้เพียงพอ
เมื่อนำมาใช้กับโคมไฟตั้งโต๊ะ
ส่วนหลอดไฟที่ใช้เพดานห้องควรใช้ขนาด
150 วัตต์ สำหรับไฟฟ้าธรรมดา และ
40 วัตต์ ถ้าเป็นหลอดไฟแบบนีออน
3.
ความร้อนและการถ่ายเทของอากาศ
ถ้าได้ที่ที่มีอากาศสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขาและมีลมเย็นๆพัดมาเบาๆ จะเยี่ยมที่สุด
ถ้าคุณไม่มัวแต่เคลิ้มบรรยากาศนั้นจนหลับไปเสียก่อน) ถ้าหาที่ดังที่จินตนาการไว้ไม่ได้ ก็หันมาใช้พัดลมเครื่องเล็กๆ ปัดความร้อนแทน
ส่วนผู้เรียนที่อยู่ในประเทศซึ่งอากาศหนาวเย็น ก็ใช้เครื่องทำความร้อนให้ความอบอุ่นแทน
ทั้งนี้เพื่อปัดเป่าบรรยากาศและคำแก้ตัวดังพุทธวัจนะที่ว่า “หนาวนัก แล้วก็ไม่ทำงาน” หรือ
“ร้อนนักก็ไม่ทำงาน” นั้นแล
จะวางแผนการเรียนอย่างไร
เป็นเรื่องง่ายมากที่นักเรียนมักจะเสียเวลาที่มีค่ายิ่งไปกับการเสียเวลาคิด (อย่างหนัก) ว่าจะต้องทำรายงานหรือกิจกรรมอะไรบ้าง และงานชิ้นไหนที่ควรทำก่อน เชื่อเถิดว่า ถ้าคุณเพียงแต่จัดตารางการเรียน แบ่งเวลาการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสม ตั้งแต่ต้นปี คุณจะหาคำตอบให้กับตัวคุณเองได้ว่าควรทำอะไรและทำเมื่อไร
เป็นเรื่องง่ายมากที่นักเรียนมักจะเสียเวลาที่มีค่ายิ่งไปกับการเสียเวลาคิด (อย่างหนัก) ว่าจะต้องทำรายงานหรือกิจกรรมอะไรบ้าง และงานชิ้นไหนที่ควรทำก่อน เชื่อเถิดว่า ถ้าคุณเพียงแต่จัดตารางการเรียน แบ่งเวลาการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสม ตั้งแต่ต้นปี คุณจะหาคำตอบให้กับตัวคุณเองได้ว่าควรทำอะไรและทำเมื่อไร
คุณต้องตั้งเป้าหมายที่จะตั้งใจเรียนอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นปี และพยายามหลีกเลี่ยงวิธีดองหนังสือไว้ “ท่องแบบลุยดะ” ในเวลาไม่กี่สัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบ กล่าวโดยทั่วไป
คุณควรแบ่งการเรียนและกิจกรรมที่สำคัญๆเป็นส่วนๆ พร้อมกับตั้งเป้าหมายที่ที่แน่นอนไว้ในแต่ละเทอม แต่ละเดือนและ แต่ละสัปดาห์
ก. เวลา
ลองใคร่ครวญดูให้ดีว่าคุณจะมีเวลาในการศึกษาอย่างแท้จริงเท่าไรอย่ากะเวลาให้มากหรือน้อยเกินไป
และถ้าคุณไม่สามารถบังคับตัวเองให้ทำตามตารางที่คุณตั้งไว้แล้ว ผลที่ตามมาคือความหายนะ (หรือจะพูดให้น่าฟัง ก็อาจแปลงเป็น
หาย “มานะ” )
เพราะเมื่อคุณไม่ทำตามตารางครั้งหนึ่งแล้ว
ครั้งต่อไปคุณจะยิ่งไม่ทำตามขึ้นเรื่อยๆ
(จริงมั๊ย?)
โดยทั่วไปนักเรียนมัธยม (ในประเทศออสเตรเลีย ผู้ถอดความ)
เรียนกันวันละประมาณห้าชั่วโมง
สำหรับผู้เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นควรหาเวลาศึกษาเพิ่มเติม หรือทบทวนบทเรียนอีกวันละประมาณสองชั่วโมง และอีกประมาณสี่ชั่วโมงสำหรับมัธยมปลาย
นักเรียนบางคนมีสมาธิดีในตอนเช้า ส่วนบางคนกลับมีสมาธิดีในตอนเย็น
คุณควรทดลองดูว่าช่วงเวลาไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด (ห้ามตอบว่าไม่มีเวลาเลย) ปกติแล้วสมองของคนเราจะลดความกระปรี้กระเปร่าลงหลังเวลา 22.30
น.
และโดยเฉพาะเวลาหลังเที่ยงคืน
(คือประมาณ 24.30 น.)
แม้แต่นักเรียนที่เก่งที่สุดก็จะสามารถจำสิ่งที่ตนอ่านได้เพียง 25%เท่านั้น
การอ่านหนังสือดึกเกินไปจะมีผลเสีย
คือทำให้คุณเหน็ดเหนื่อย ง่วงหงาวหาวนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น และทำให้คุณเรียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ข. วิชาต่างๆ บางวิชาอาจเข้าใจยากกว่าวิชาทั่วไป
ดังนั้นคุณจำเป็นต้องเอาใจใส่ใช้เวลาศึกษาวิชาดังกล่าวมากกว่าวิชาอื่นที่เข้าใจได้ง่ายกว่า เวลาที่คุณใช้ไปจริงๆ ในแต่ละวิชาขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ และความสนใจของคุณเอง
เมื่อคุณได้ตกลงใจแล้วว่าคุณจะใช้เวลาเท่าไรในแต่ละสัปดาห์ กับแต่ละวิชา
คุณต้องกำหนดลงไปให้แน่ชัดและถูกต้องลงในตารางเวลา ตารางที่ว่านี้ส่วนหนึ่งจะขึ้นกับแต่ละวิชา
คุณต้องกำหนดลงไปให้แน่ชัดและถูกต้องลงในตารางเวลา ตารางที่ว่านี้ส่วนหนึ่งจะขึ้นกับว่าวิชาที่จะต้องเรียนในวันรุ่งขึ้น
คือวิชาอะไรบ้างแต่คุณก็ควรพิจารณาดูปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย
1.วิชาที่เข้าใจยาก
คณควรใช้เวลาศึกษาวิชาที่เข้าใจยากที่สุดเสียก่อนในขณะที่ความคิดยังปลอดโปร่ง นอกจากนี้วิชาอื่นๆ ที่คุณจัดอยู่ในพวก “ไม่ค่อยน่าเรียน” ก็ควรเป็นวิชาแรกๆที่ต้องกำหนดไว้ในตารางเวลา (อย่าเพิ่งร้อง ยี้....เพราะมันจะให้ผลดีแก่คุณในภายหลังแม้จะต้องทนขมขื่นสักหน่อยก็ตาม”
1.วิชาที่เข้าใจยาก
คณควรใช้เวลาศึกษาวิชาที่เข้าใจยากที่สุดเสียก่อนในขณะที่ความคิดยังปลอดโปร่ง นอกจากนี้วิชาอื่นๆ ที่คุณจัดอยู่ในพวก “ไม่ค่อยน่าเรียน” ก็ควรเป็นวิชาแรกๆที่ต้องกำหนดไว้ในตารางเวลา (อย่าเพิ่งร้อง ยี้....เพราะมันจะให้ผลดีแก่คุณในภายหลังแม้จะต้องทนขมขื่นสักหน่อยก็ตาม”
2.ควรใช้เวลาศึกษาบ่อยเพียงไร
?
ตอบแบบกำปั้น
(หรือใช้ค้อนแทนก็ได้)
ทุบดินก็คือ
ยิ่งคุณศึกษาวิชานั้นบ่อยเพียงไร
คุณจะยิ่งเรียนวิชานั้นได้ดี
ตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณต้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นเวลา
2.30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ วิธีที่จะได้ผลเร็วที่สุดคือ คุณใช้เวลาเรียน 2.30
ชั่วโมงติดต่อกันรวดเดียว
ส่วนวิธีที่ดีกว่านี้ก็คือ
คุณอาจใช้เวลา 00.30 ชั่วโมงวันจันทร์ 1
ชั่วโมงในวันพุธ และอีก 1
ชั่วโมงในวันศุกร์
ในระหว่างช่วงเวลาที่คุณหยุดพักไปในแต่ละวันความคิดและความจำของคุณเกี่ยวกับวิชาที่คุณศึกษาไปแล้วจะยังคงอยู่ แม้คุณอาจไม่รู้ก็ตาม
3.การสับเปลี่ยนวิชา
คุณควรสับเปลี่ยนและเลือกเรียน หรือวิชาที่ง่ายและยากสลับกันไป
และควรเลือกวิชาที่มีพื้นฐานแตกต่างกันบ้าง
ทั้งนี้เพราะความแตกต่างของวิชาดังกล่าวจะช่วยในการเรียนรู้ และช่วยให้หายเบื่อหน่ายหรือเซ็งได้
เช่น
1 ชั่วโมง เลือกเรียนหรือทบทวนวิชาคณิตศาสตร์
1
ชั่วโมง “ “ “ วิชาภาษาอังกฤษ
1
ชั่วโมง “ “ วิชาเคมี
4.เวลาที่ใช้ในการเรียนหรือทบทวนแต่ละวิชา
ยกเว้นเวลาที่คุณจะต้องตระเตรียมการบ้านหรือรายงานที่ไดรับมอบหมายจากอาจารย์หรือครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้เวลาจำนวนมาก เวลาที่เหมาะสมที่ควรใช้ในการศึกษาหรือทบทวนแต่ละวิชามีดังนี้ คือ
มัธยมต้น
00.30 ชั่วโมง
มัธยมปลาย
00.45 ชั่วโมง
เตรียมอุดม
1 ชั่วโมง
5.การทบทวนวิชาต่างๆ
คุณควรทบทวนบทเรียนทันที (ถ้าเป็นไปได้) หลังจากได้เรียนในชั้นแล้ว และ
(ถ้าเป็นไปได้อีกเช่นกัน)
ควรเป็นวันเดียวกับที่เรียนในชั้นเลยจะยิ่งดี
คุณควรกำหนดเวลาทบทวนลงไปในตารางเวลาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
6.
การ “อุ่นเครื่อง”
คุณควรเตรียมเวลาไว้สำหรับทั้งการ “อุ่นเครื่อง”
ก่อนทำงาน และ “เบาเครื่อง”
อย่าให้ถึงกับ “ดับเครื่อง” ล่ะ)
หลังทำงาน โดยทั่วไปมักต้องใช้เวลาประมาณ 10 – 15
6204 ก่อนที่คุณจะเกิด “อารมณ์”
หรือที่เรียกว่า “มีมู้ด” (mood)
ในการศึกษาหรือทบทวนแต่ละวิชา คุณจะไม่สามารถทำงานได้ผลดีที่สุด
หรือไม่สามารถมีสมาธิอย่างเต็มที่ในไม่กี่นาทีแรกเมื่อคุณเริ่มทำงาน ในทำนองเดียวกันคุณต้อง “พักเครื่อง”
หลังจากได้ศึกษาทบทวนมาอย่างหนักแล้ว
และควรใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เปลี่ยนไปทำงานอื่นที่เบาสมอง
หรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่คุณจะเข้านอน
7.
การหยุดพักผ่อน
คุณควรใช้เวลาหยุดพักสายตาและสมองสัก 5
นาที หลังจากได้ศึกษาตำราแล้วครึ่งชั่วโมง หรือพักสัก
10 นาที
หลังจากทำงานติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้สมองแจ่มใสขึ้น สิ่งที่ควรทำขณะพัก
(ซึ่งความจริงไม่ต้องบอกคุณก็ทราบอยู่แล้ว) เช่น ออกกำลังกายอย่างเบาๆ เดินเล่นหรือ อ่านหนังสือพิมพ์ และคุณไม่ควรคิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ที่จริงแล้วกิจกรรมเหล่านี้กลับทำให้คุณเรียนดีอย่างไม่น่าเชื่อ
8.
เวลาว่าง
กิจกรรมต่างๆ ที่คุณควรมีส่วนร่วมมีมากมาย เช่น
การเล่นกีฬา การออกกำลังกาย การทำงานอดิเรก ชมภาพยนตร์
ฟังดนตรี ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ
อ่านหนังสือ
และออกงานสังคมเป็นต้น
กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยให้คุณร่างกายแข็งแรง
แต่ยังช่วยให้คุณเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทางอ้อมอีกด้วย คุณคงจำภาษิตที่ว่า All
work and no
play makes Jack
a dull boy! ได้
9. การเริ่มต้น
โปรดจำไว้ว่าคุณควรเริ่มต้นศึกษาหรือทบทวนบทเรียนที่ยากที่สุดเสียก่อน แม้คุณจะรู้สึกเบื่อไม่สนใจ และพูดได้เพียงว่า ยากส์
ยากส์ ยากส์ ก็ตาม
คุณไม่ควรผัดวันประกันพรุ่งที่จะเริ่มต้นเอาชนะมัน ความล่าช้าจะทำให้วิชานั้นยากสสสส์ยิ่งขึ้น
แต่ถ้าคุณเริ่มทบทวน ค้นคว้า ให้ทัน
และทำอย่างสม่ำเสมอ
คุณจะพบว่าบทเรียนนั้นๆ
ไม่ได้ยากจริงอย่างที่คุณคิดไว้แต่ต้น
ค. กิจกรรมต่างๆ
การนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมกับดวงตา (และบางครั้ง
- หรือบ่อยครั้ง -ดวงใจ
) ที่เหม่อลอยออกนอกหน้าต่าง หรือบางทีคุณอาจพลิกหน้าหนังสือกลับไปกลับมานั้น ไม่นับว่าเป็นการเรียนหรือดูหนังสือ ถ้าคุณตั้งใจดูหนังสือจริงๆ เพียงครึ่งชั่วโมงอย่างมีสมาธิ ผลลัพธ์จะคุ้มค่ากว่าการที่คุณนำหนังสือ “มาเปิดดูผ่านๆ” ไปเป็นเวลาสองชั่วโมง
คุณควรมีจุดหมายระยะสั้นที่แน่นอนในการศึกษาวิชาต่างๆ
คุณควรตัดสินใจว่าจะทำอะไรและทำให้ได้แค่ไหน หลังจากนั้นทำสิ่งที่กำหนดไว้ให้สำเร็จ ในตารางเวลาที่เตรียมไว้สำหรับแต่ละวิชา คุณควรกำหนด
คุณควรจะทำอะไรบ้าง เช่น
-
ทำการบ้าน
-
ทบทวนบทเรียน
-
เตรียมบทเรียนล่วงหน้า
หรือ
บางครั้งทำทั้งสามอย่างในเวลาเดียวกัน
(นั่นแน่ ขยันจัง เด็กดี)
1.
การบ้าน
คุณควรทำการบ้านหรือแบบฝึกหัดที่ได้รับในชั้นเรียนให้เสร็จก่อนสิ่งอื่น เพราะการบ้านหรือแบบฝึกหัดเหล่านั้นจะเป็นการ ทดสอบ กระตุ้นและทบทวนความรู้ของคุณ การทำการบ้านไม่เสร็จ หรือส่งไม่ทันกำหนด เป็นเครื่องชี้ว่าคุณมีนิสัยในการเรียนที่ไร้ประสิทธิภาพ คุณไม่ควรคิดแบบ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” เพียงว่า “เย็นนี้ฉันจะทำการบ้านสักหน่อย” แต่คุณควรบอกตัวเองว่า เป้าหมายที่ฉันจะต้องทำให้สำเร็จในเย็นวันนี้คือ “ฉันจะแก้ปัญหาสี่ข้อในวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นการบ้านของฉันในวันนี้”
คุณควรทำการบ้านหรือแบบฝึกหัดที่ได้รับในชั้นเรียนให้เสร็จก่อนสิ่งอื่น เพราะการบ้านหรือแบบฝึกหัดเหล่านั้นจะเป็นการ ทดสอบ กระตุ้นและทบทวนความรู้ของคุณ การทำการบ้านไม่เสร็จ หรือส่งไม่ทันกำหนด เป็นเครื่องชี้ว่าคุณมีนิสัยในการเรียนที่ไร้ประสิทธิภาพ คุณไม่ควรคิดแบบ “ตัดช่องน้อยแต่พอตัว” เพียงว่า “เย็นนี้ฉันจะทำการบ้านสักหน่อย” แต่คุณควรบอกตัวเองว่า เป้าหมายที่ฉันจะต้องทำให้สำเร็จในเย็นวันนี้คือ “ฉันจะแก้ปัญหาสี่ข้อในวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นการบ้านของฉันในวันนี้”
2.
ทบทวนบทเรียน
คุณควรทบทวนวิชาต่างๆ ที่คุณได้เรียนในชั้นโดยการ “เขียนเพิ่มเติม” หรือทำความเข้าใจบันทึกคำบรรยายในชั้น คุณอาจหาตัวอย่างหรือแนวคิดอื่นๆ เพิ่มเติม
อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้อง
สรุป หรือพยายามจดจำคำบรรยายในวิชานั้นๆ ให้ได้จุดมุ่งหมายเฉพาะที่คุณควรกำหนด เช่น
เช่น “ ฉันจะ.....”
ก. อ่านหนังสือคำบรรยายในชั้นวันนี้ เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของมหาสมุทรแปซิฟิค
ข. อ่านตำราเกี่ยวกับเนื้อหาดังกล่าวหนึ่งบท
ค. สรุปเนื้อหาที่อ่าน
ง. เขียนบทสรุปที่อ่านเพิ่มเติมลงในสมุดบันทึกคำบรรยายในชั้น
3.
เตรียมบทเรียนล่วงหน้า
การเตรียมบทเรียนล่วงหน้ามีวัตถุประสงค์หลายอย่างเช่น
ก. การเตรียมเพื่อการทดสอบ (tests)
วัตถุประสงค์ที่ควรกำหนดเช่น
“ฉันจะ...”
(I)
อ่านทบทวนบททดสอบครั้งล่าสุดที่ฉันทำในชั้นเกี่ยวกับ”ไฟฟ้า” จนกว่า จะแน่ใจเข้าใจข้อที่ทำผิดพลาดว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร
(II)
อ่านบันทึกคำบรรยายในชั้นในหัวข้อที่เกี่ยวกับไฟฟ้า
(III)
ตรวจดูคำตอบในแบบฝึกหัดที่เกี่ยวกับไฟฟ้า
(IV)
ทำแบบฝึกหัดใหม่3ข้อเพื่อทดสอบตัวเอง
ข. การเตรียมบทเรียนล่วงหน้าโดยทั่วไป
ได้แก่การอ่านตำราเกี่ยวกับหัวข้อที่จะใช้เรียนในคราวต่อไป “การอ่านบทเรียนล่วงหน้า”
จะช่วยลดความสับสนเกี่ยวกับวิชาหรือหัวข้อใหม่ๆ
ที่ไม่คุ้นเคยจะสามารถช่วยให้คุณเข้าใจบทเรียนมากขึ้น ถ้าคุณได้เตรียมอ่านมาก่อนล่วงหน้า คุณอาจกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะว่า “ฉัจะอ่านบทที่เกี่ยวกับ “การย่อหน้า””
ในตำราเรียน และอ่านบทที่เรียนกับ “รูปแบบการเขียนเรียงความ” ในหนังสืออ้างอิง
ขอยกตัวอย่างง่ายๆดังนี้ ถ้าคุณกำหนดเวลา 3
ชั่วโมง
เพื่อศึกษาหรือทบทวนในหนึ่งคืน
สรุป
-
สถานที่ที่คุณใช้อ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ควรเป็นที่ที่เงียบสงบ และนั่งได้อย่างสะดวกสบาย
-
คุณควรเตรียมตารางเวลาการเรียนหรือทบทวนตำราตั้งแต่ต้นปี และทำตามตารางที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ
-
เลือกลงวิชาเรียนที่ยากง่ายด้วยความละเอียดรอบคอบ
-
คุณควรกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนที่แน่นอนทั้งในระยะสั้นและยาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น